วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คอมพิวเตอร์และระบบเครือคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์คืออะไร?

ขอขอบคุณภาพจาก:www.il.mahidol.ac.th
คอมพิวเตอร์ (computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์ เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
ประเภทของคอมพิวเตอร์
  • ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
  • เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
  • มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)
  • ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC)
  • โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop)
  • เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)
  • อัลตร้าบุ๊ค (Ultrabook)
  • แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (tablet computer)
  • ขอขอบคุณภาพจาก:www.thaigoodview.com


เครือข่ายคอมพิวเตอร์คืออะไร?

การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้
สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร 
http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/network.gif
เพิ่มคำอธิบายภาพขอบคุณภาพจาก:http://www.school.net.th/
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network Operation System)
อุปกรณ์ในเครือข่าย
  1. การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card :NIC)
  2. โมเด็ม ( Modem : Modulator Demodulator)
  3. ฮับ ( Hub) 
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY)

1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส จะประกอบด้วย สายส่งข้อมูลหลัก ที่ใช้ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะเชื่อมต่อเข้ากับสายข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อ เมื่อมีการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องพร้อมกัน จะมีสัญญาณข้อมูลส่งไปบนสายเคเบิ้ล และมีการแบ่งเวลาการใช้สายเคเบิ้ลแต่ละเครื่อง ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส คือ ใช้สื่อนำข้อมูลน้อย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบโดยรวม แต่มีข้อเสียคือ การตรวจจุดที่มีปัญหา กระทำได้ค่อนข้างยาก และถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากเกินไป จะมีการส่งข้อมูลชนกันมากจนเป็นปัญหา
http://www.sa.ac.th/elearning/IMAGE6/bus_topology.jpg
ขอบคุณภาพจาก:http://www.school.net.th/
2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่แต่ละการเชื่อมต่อจะมีลักษณะเป็นวงกลม การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายนี้ก็จะเป็นวงกลมด้วยเช่นกัน ทิศทางการส่งข้อมูลจะเป็นทิศทางเดียวกันเสมอ จากเครื่องหนึ่งจนถึงปลายทาง ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งขัดข้อง การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายชนิดนี้จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ข้อดีของโครงสร้าง เครือข่ายแบบวงแหวนคือ ใช้สายเคเบิ้ลน้อย และถ้าตัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เสียออกจากระบบ ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบเครือข่ายนี้ และจะไม่มีการชนกันของข้อมูลที่แต่ละเครื่องส่ง
http://www.sa.ac.th/elearning/IMAGE6/ring_topology.jpg
ขอบคุณภาพจาก:http://www.school.net.th/
3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว ภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีจุกศูนย์กลางในการควบคุมการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรือ ฮับ (hub) การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ จะสื่อสารผ่านฮับก่อนที่จะส่งข้อมูลไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบดาวมีข้อดี คือ ถ้าต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในระบบ ส่วนข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สายเคเบิ้ลจะค่อนข้างสูง และเมื่อฮับไม่ทำงาน การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบก็จะหยุดตามไปด้วย
http://www.sa.ac.th/elearning/IMAGE6/STAR.JPG
ขอบคุณภาพจาก:http://www.school.net.th/



ที่มา:

วิเคราะห์ข้อสอบ o-net คอมพิวเตอร์ 5 ข้อ

สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมจะมานำเสนอตัวอย่างข้อสอบ O-NET คอมพิวเตอร์ ที่มีประโยชน์ให้กับเพื่อนๆทุกคนได้รับรู้นะครับ

ขอบคุณภาพจาก:http://teen.mthai.com/
O-NET คืออะไร ? มีความสำคัญยังไง ?
   O-NET คือ การทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ซึ่งในภาษาฝรั่งก็คือ Ordinary National Education Test ที่จัดสอบโดย สทศ. ชื่อเต็มๆ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ ในชื่อภาษาอังกฤษ National Institute of Educational Testing Service ตัวย่อ NIETS
ซึ่งการสอบ O-NET นี้จะใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดต่างๆให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งก็จะใช้วัดความรู้และความคิดของนักเรียนในระดับ ป.6 ม.3 และ ม.6 โดย ที่ข้อสอบจะประกอบไปด้วยเนื้อหา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่
  • ภาษาไทย
  • สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
  • ภาษาอังกฤษ
  • คณิตศาสตร์
  • วิทยาศาสตร์
  • สุขศึกษาและพลศึกษา
  • การงานอาชีพและเทคโนโลยี
  • ศิลปะ
  และนอกจาก O-NET จะใช้เป็นตัววัดระดับการศึกษาของเด็กไทยแล้ว ยังเป็นคะแนนที่น้องๆระดับชั้นต่างๆต้องนำไปใช้ในการสมัครเข้าเรียนระดับชั้นต่อไปด้วย ก็คือ น้องๆชั้น ป.6 และ ม.3 ต้องใช้คะแนน O-NET สมัครเข้าเรียน ม.1 และ ม.4โดยให้น้ำหนัก 20% (โดยจะมีผลตั้งแต่ปีการศึกษา 2554 เป็นต้นไป) และสำหรับน้อง ม.6 ใช้คะแนน O-NET ในการสมัคร Admission 30%
และก็คงมีคำถามว่าแล้วถ้าเป็นเด็กอินเตอร์ เด็กซิ่ล เด็กนอกละ ต้องสอบไหม! ก็ต้องสอบเหมือนกันถ้าโรงเรียนอินเตอร์แห่งนั้นสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ สทศ.ก็จะทำการจัดสอบให้ และถ้าเป็นเด็กนอกที่ต้องการสอบ O-NET ก็ต้องทำการสอบเทียบ ม.6 ก่อน และต้องมีใบรับรองจากโรงเรียนและกระทรวงศึกษาธิการด้วย ซึ่งก็สามารถมายื่นสมัครสอบได้ในช่วงเดือน พฤศจิกายนของทุกปี
  สำหรับการสอบ O-NET นี้น้องๆไม่ต้องเสียค่าสอบอะไรเลย และจะทำการสอบกันทุกเดือนกุมภาพันธ์ และจะประกาศผลประมาณปลายเดือนมีนาคมของทุกปี
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า o-net นั้นมีความสำคัญอย่างไร ที่นี้มาลองทำข้อสอบดูบ้าง
< ข้อสอบวิชาคอมพิวเตอร์ จะอยู่ในหมวด การงานอาชีพและเทคโนโลยี >
ขอบคุณภาพจาก:http://teen.mthai.com/
1.ข้อใดไม่ใช่ระบบปฏิบัติการที่นำมาใช้บนอุปกรณ์พกพา
ประเภท  Smartphone.
1.  Ubumtu       2.  Iphone  os
3.  Android      4.  Symbian
เฉลยข้อ  1
2.ข้อใดเป้นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเมื่อค้นคว้า
หาข้อมูลจากอินเทอร์เนตมาทำรายงาน.
1.คัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์
2.ใช้เนื้อหาจากกระดานสนทนา(Web board)มาใส่ในรายงาน
3.นำรูปภาพจากเว็บไซต์มาใส่ในรายงาน
4.อ้างอิงชื่อผู้เขียนบทความ
เฉลยข้อ  4
3.ข้อใดเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายทั้งหมด.
1.  Wi-Fi  ,  IP              2.  Wi-Fi  ,Bluetooth
3.  3G  ADSL                  4.  3G    Ethernet
เฉลยข้อ  2
4.ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้องที่สุด.
1.การบันทึกข้อมูลลงแผ่นดีวีดีใช้เทคโนโลยีแบบแม่เหล็ก
2.หมายเลขไอพีเป็นหมายเลขที่ใช้กำกับ  Network Interce Card
3.หน่วยความจำสำรองเป็นหน่วยความจำที่มีคุณลักษณะแบบ Volntile
4.รหัส ACIIและEBCIDICเป็นการวางรหัสตัวอักษรที่ใช้ขนาด  8 บิด
เฉลยข้อ  3 
5.ระบบกระดานสนทนาหรือเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งมีความต้องการดังนี้
  • ต้องให้ผู้ใช้สามารถตั้งกระทู้โต้ตอบกันได้โดยผู้ใช้ต้องแสดงตัวตน(ล็อกอิน)เพื่อเข้าระบบก่อน
  • ผู้ใช้สามารถตั้งกระทู้หรือเข้าไปตอบกระทู้ที่ตั้งไว้แล้วได้
  • ระบบจะบันทึกชื่อผู้ตั้งและผู้ตอบไว้ด้วย
ในการออกแบบฐานข้อมูลดังกล่าวข้อใดกล่าวได้ถูกต้อง.
1.ต้องสร้างตารางผู้ใช้ ตารางกระทู้และตารางคำตอบ
2.ไม่ต้องสร้างตารางผู้ใช้เนื่องจากสามารถบันทึกชื่อ
ผู้ใช้ในตารางกระทู้และตารางคำตอบได้เลย
3.ต้องสร้างตารางผู้ใช้และตารางกระทู้ส่วนคำตอบจะอยู่
ในตารางกระทู้อยู่แล้ว
4.ไม่ต้องสร้างตารางกระทู้เพราะสามารถบันทึกกระทู้ที่ผู้ใช้
ตั้งในตารางผู้ใช้ได้เลย
เฉลยข้อ  4

ที่มา:
https://krupaga.wordpress.com/

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทาโกะยากิ (たこ焼き takoyaki)


ขอขอบคุณภาพจาก:https://th.sushiandsake.net/

          สวัสดีครับทุกๆคน วันนี้ผมจะมาเเนะนำอาหารกินเล่นที่ทั้งอร่อย กรอบนอก นุ่มในเเละอัดไปด้วยไส้ของความอร่อยที่จะทำให้ทุกๆคนได้เพลิดเพลินเเละยังเป็นอาหารชื่อดังประเจ้าชาติอย่างประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย นั้นก็คือ "ทาโกะยากิ" นั่นเอง 
ขอขอบคุณภาพจาก:https://th.sushiandsake.net/

    “ทาโกะยากิ” (Takoyaki) เป็นชื่อของอาหารญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง บางทีภาษาไทยก็เรียกกันว่า “ขนมครกญี่ปุ่น” ทาโกะยากิมีต้นกำเนิดมาจากเมืองโอซาก้าประเทศญี่ปุ่น และเป็นอาหารยอดนิยมในแถบคันไซซึ่งหากดูตามรายการเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นเหมทาโกะยากิเป็นอาการที่ได้รับความนิยมในงานเทศกาลต่างๆ อย่างไรก็ตามตามร้านอาหารญี่ปุ่นก็มักจะมีเมนูทาโกะยากิเป็นอาหารทานเล่นเช่นกัน
ลักษณะของทาโกะยากิ จะเป็นลูกกลมๆทอดจนเป็นสีน้ำตาลราดด้วยซอสและมายองเนสแล้วโรยหน้าด้วยผงสาหร่ายและแผ่นปลาแห้ง  ส่วนผสมของทาโกะยากินั้นจะประกอบด้วยน้ำแป้ง, ขิงดอง, แป้งทอด, หอมสับ , แล้วก็ที่ขาดไม่ได้คือหนวดปลาหมึกยักษ์ (Tako) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่อทาโกะยากินั่นเอง และอีกคำหนึ่งคือ “Yaki” ก็แสดงถึงวิธีทำก็คือการเอาส่วนผสมเหล่านี้ลงไปทอดในกระทะที่มีลักษณะเป็นหลุมนั่นเอง

ทาโกะยากิ
ขอขอบคุณภาพจาก:https://th.sushiandsake.net/
วัตถุดิบ

  • แป้งเค้ก 150 กรัม
  • ผงฟู 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วญี่ปุ่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • น้ำซุปคัตสึโอะ 2 ถ้วยตวง
  • น้ำมัน
  • ปูอัด หั่นเป็นท่อนเล็ก
  • ไข่กุ้ง
  • สาหร่าย
  • ผงปลาคัตสึโอะ
  • กะหล่ำปลี
  • แครอท
  • ซอสทงคัตสึ
  • มายองเนส
  • 18. ต้นหอมซอย
วิธีทำ
  1. นำแป้งเค้ก ผงฟู น้ำตาลทราย เกลือ นมสด โชยุ และน้ำซุปปลาคัตสึโอะ ใส่อ่างผสมแล้วคนให้เข้ากัน(สามารถเพิ่มโชยุและน้ำตาลได้ตามชอบ)
  2. นำเครื่องทำทาโกะยากิมาเปิดไว้จนเตาร้อน ใช้กระดาษทิชชู่ชุบน้ำมันแล้วทาที่เตาให้ทั่ว แล้วหยอดแป้งที่ผสมไว้ลงไป 3/4 ของหลุม แล้วใส่กะหล่ำปลี แครอท ปูอัด ต้นหอมลงไป รอจนด้านล่างสุก สามารถใช้ไม้แคะพลิกให้เป็นแนวตั้ง แล้วหยอดแป้งลงไปให้เต็มหลุมอีกครั้ง หลังจากนั้นทำซ้ำๆ จนเป็นก้อนกลมๆ สุกทั่วลูก
  3. นำทาโกะยากิที่สุกแล้วจัดใส่จาน ราดด้วยซอสทงคัตสึ บีบมายองเนส ใส่ไข่กุ้ง สาหร่าย ผงปลลาคัตสึโอะลงไป ตกแต่งให้ดูน่าทานพร้อมเสิร์ฟ
      ทั้งทำง่ายเเละยังอร่อยจนเป็นที่นิยมมาก เเถมยังสามารถทำกินเองหรือมำไปทำเป็นธุรกิจของตัวเองได้อีกด้วย นับว่า ทาโกะยากิ เป็นอาหารที่เป็นสุดของกินได้เลยทีเดี้ยว
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทาโกะยากิ คือ
ขอขอบคุณภาพจาก:https://bang2909.wordpress.com/
ขอขอบคุณภาพจาก:http://mochit2.com/